|
รูปแบบของดีวีดีทุกวันนี้ เรียกว่าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งในเรื่องของเครื่องเล่น ที่สามารถหากซื้อได้ในราคาไม่แพง หรือตัวแผ่นเองก็เรียกว่า ราคาไม่สูงมากแล้ว ทำให้การใช้งานนั้นเริ่มแพร่หลายมากขึ้น ด้วยคุณภาพของการแสดงผลที่ได้นั้น พอๆ กับการรับชมในโรงภาพยนตร์ ขณะที่ยังสามารถเลือกซับไตเติ้ลได้เอง ทั้งภาษาไทยอังกฤษ หรือว่าอื่นๆ ที่มีอยู่ ทำให้ผู้ดูสามารถเลือกรับชมภาษาได้ตามต้องการ
แต่การรับชมภาพภาพยนตร์ในรูปแบบของวิดีโอซีดีนั้น ก็เรียกว่ายังได้รับความนิยมอยู่ บรรดาเครื่องเล่นวิดีโอซีดีต่างๆ นั้นก็ยังพากันขายได้ และส่วนใหญ่ก็มีกันแทบทุกบ้านเสียด้วย ก็เลยเป็นที่มาของการแปลงภาพยนตร์จากดีวีดีไปเป็นวิดีโอซีดีกัน ก็คราวนี้ล่ะ
ข้อดีของการแปลงจากดีวีดีไปเป็นวิดีโอซีดีนั้นมีอะไรบ้าง... จริงๆ แล้วต้องขอบอกว่าการแปลงจากดีวีดีไปเป็นวิดีโอซีดีนั้น มีข้อดีอยู่มากเลยทีเดียว นับตั้งแต่เป็นการแบ็กอัพแผ่นดีวีดีราคาแพงๆ ให้ไม่มีรอยขีดข่วนแล้ว ยังช่วยให้เราสามารถแบ็กอัพแผ่นซีดีที่ต้องการเก็บไว้ส่วนตัวได ้อีกด้วย เช่น มีแผ่นซื้อแผ่นดีวีดีจากต่างประเทศมา ก็สามารถแปลงเป็นวิดีโอซีดี แล้วแจกจ่ายให้กับผู้ที่ต้องการได้ ซึ่งการใช้งานแบบนี้ก็ย่อมทำให้แผ่นดีวีดีของเราสามารถอยู่ได้ย าวนานเลยล่ะ หรือจะเอาไว้สำหรับก็อปปี้แผ่นดีวีดีที่ยืมมาก็สะดวก เพราะถ้าไปซื้อไดรฟ์สำหรับเขียนดีวีดีมาใช้งาน ตอนนี้ก็ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ แถมแผ่นดีวีดีอาร์ก็ยังแพงอีกด้วย นอกจากนั้นดีวีดีอาร์ยังเขียนได้เฉพาะดีวีดีแบบเลเยอร์เดียว 4.7 กิกะไบต์เท่านั้นเอง ดังนั้นการแปลงจากดีวีดีมาเป็นฟอร์แมตอื่นๆ เช่นวิดีโอซีดีหรือ DivX จึงสะดวกกว่า เอาล่ะพล่ามมาพอสมควรแล้ว ก็เข้าเรื่องการแปลงดีวีดีเป็นวิดีโอซีดีกันดีกว่า
รูปแบบของการแปลงดีวีดี
การแปลงจากดีวีดีไปเป็นวิดีโอซีดีนั้น เป็นเรื่องที่ทำได้สบายๆ มาก เพราะนับตั้งแต่เรื่องของความละเอียด ดีวีดีก็เหนือกว่าอยู่แล้ว ทำให้สามารถนำมาแปลงเป็นวิดีโอซีดีที่มีความละเอียดต่ำกว่าได้อ ย่างสบายๆ หรือหากอยากได้ความละเอียดสูงๆ หน่อย ก็ยังสามารถแปลงเป็น Super VCD ได้อีกด้วย และในกรณีที่ต้องการแปลงเป็นฟอร์แมตของ DivX หรือ MPEG4 ก็สามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา ขอเพียงให้ต้นฉบับเป็นดีวีดีเท่านั้นเอง ซึ่งจากตารางเราจะเป็นว่า หากไม่นับ DV ซึ่งเป็นฟอร์แมตสำหรับกล้องถ่ายวิดีโอดิจิตอลแล้วล่ะก้อ ความละเอียดของดีวีดีถือว่าสูงสุด รองลงมาก็จะเป็น DivX, Super VCD และ VCD เป็นลำดับต่อมาหากดูจากขนาดของภาพและความละเอียด การแปลงดีวีดีเป็นวีซีดี เรียกว่าไม่มีปัญหา เพราะจากความละเอียด 720x480 พิกเซลแปลงมาเป็น 352x240 พิกเซล เรียกว่าสบายๆ หรือหากต้องการความละเอียดสูงหน่อย จะแปลงเป็น DivX ก็ไม่มีปัญหา แถมความละเอียดที่ได้ก็เรียกว่าไม่น้อยหน้าเท่าไหร่ แต่เสียอย่างเดียวก็ตรงที่ต้องใช้กับคอมพิวเตอร์อย่างเดียวเท่า นั้นเอง แต่ก่อนที่จะลงมือทำเรามาดูเรื่องของสเปกของเครื่องคอมพ์ที่จำเ ป็นต้องใช้ก่อนดีกว่าว่าเครื่องที่มีอยู่ไหวสำหรับการนำมาใช้งา นรึเปล่า
อัพเกรดเครื่องให้แปลงดีวีดีได้
ในการแปลงดีวีดีเป็นวิดีโอซีดีหรืออื่นๆ นั้น อันดับแรกต้องมีไดรฟ์ดีวีดีด้วยนะ เอาไว้อ่านข้อมูลจากแผ่นดีวีดีโดยเฉพาะ แบบว่าเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมี แต่ก็ไม่น่ามีปัญหา หากคุณจะหาไดรฟ์ดีวีดีมาใช้งานสัก เพราะตัวไดรฟ์ดีวีดีเดี๋ยวนี้มีราคาไม่แพงแล้ว เรียกว่าหากจะหาไดรฟ์ซีดีตัวใหม่มาแทนที่ตัวเก่า ก็ซื้อไดรฟ์ดีวีดีมาใช้ยังคุ้มค่ามากกว่าเลย เพราะราคาไม่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ และดีวีดีไดรฟ์ยังสามารถอ่านแผ่นข้อมูลเดิมๆ บนแผ่นซีดีเก่าที่เก็บไว้ได้ด้วยต่อมาก็เป็นเรื่องของเครื่องคอมพ์ที่จะใช้ แนะนำว่าหาเครื่องที่เร็วๆ มาใช้จะดีที่สุด เพราะขั้นตอนในการแปลงจากดีวีดีเป็นวิดีโอซีดีหรืออื่นๆ นั้น ต้องใช้เวลานานมาก หากเครื่องที่ใช้ไม่แรงพอ ไม่ได้เป็นอินเทลเพนเทียมโฟร์
ขั้นตอนในการแปลงดีวีดี
ตามปกตินั้น ขั้นตอนในการแปลงจากดีวีดีมาเป็นวิดีโอซีดีหรือว่า DivX นั้นเรียกว่ายุ่งยากมาก และไม่สามารถทำได้ในขั้นตอนเดียวจนเสร็จ โดยเริ่มต้นจากการใช้โปรแกรม Ripper เพื่อดึงข้อมูลที่อยู่ในแผ่นดีวีดีให้มาอยู่ในฮาร์ดดิสก์ก่อน เช่นโปรแกรมที่ได้รับความนิยมมากอย่าง SmartRipper เป็นต้น จากนั้นถึงจะใช้โปรแกรมแปลงไฟล์จากฟอร์แมตของดีวีดีให้เป็นไฟล์ ในรูปแบบของ AVI เช่นโปรแกรม DVD2AVI ซึ่งจัดอยู่ในโปรแกรมจำพวก FrameSaving เพื่อที่จะได้ใช้โปรแกรม Encode ให้อยู่ในรูปแบบอื่นๆ ตามต้องการ ที่นิยมใช้งานกันก็คือ TMPGEnc Plus นั่นเอง ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้นอกจากยุ่งยากแล้ว ยังมีปัญหาตามมาก็คือไม่สามารถเพิ่มซับไตเติ้ลลงในไฟล์วิดีโอที ่สร้างขึ้นได้ แต่ในระยะหลังๆ นี้ได้มีโปรแกรมที่จะช่วยให้สามารถแปลงดีวีดีเป็นวิดีโอซีดีหรื อว่า DivX ได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจจะใช้ขั้นตอนในการทำเพียงสองหรือสามขั้นตอนเท่านั้นเอง ซึ่งในที่นี้ผมก็ขอแนะนำวิธีการแปลงดีวีดีทั้งขั้นตอนแบบเก่าแล ะแบบใหม่มาให้ได้รับรู้กัน เพราะแม้จะมีการแปลงที่ง่ายขึ้นแล้ว แต่ขั้นตอนเก่า ก็ยังมีข้อดีอยู่มากเหมือนกัน โดยเฉพาะหากต้องการแปลงดีวีดีเป็นวิดีโอซีดี โดยไม่ต้องการซับไตเติ้ล จะสามารถทำได้รวดเร็วกว่ามาก แถมตัว Encode ยังให้ภาพที่คมชัดแบบไม่น้อยหน้าใครด้วย โดยเฉพาะในการแปลงแบบวิดีโอซีดี จะเห็นได้ชัดมากเลย และช่วยให้ผู้ใช้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการก๊อบปี้ดีวีดีได้มากกว ่าอีกด้วยการแปลงแบบ Ripping, FrameSaving และ Encode
ในขั้นตอนการแปลงดีวีดีแบบนี้ เราจำเป็นต้องใช้โปรแกรมหลักๆ สามตัวด้วยกัน คือ Smart Ripper สำหรับดึงข้อมูลมาจากแผ่นดีวีดีเพื่อเก็บลงในฮาร์ดดิสก์ก่อน และใช้โปรแกรม Frame Saving เช่น DVD2AVi ในการแปลงข้อมูลจากไฟล์ VOB ของดีวีดีเป็นไฟล์ AVI จากนั้นใช้ TMPGEnc Plus ในการแปลงจาก AVI มาเป็นฟอร์แมตที่ต้องการ จากนั้นแบ่งไฟล์ Mpeg ที่ได้ให้เหมาะสำหรับขนาดของแผ่นซีดีที่นำมาใช้บันทึก โดยโปรแกรมทั้งหมดนั้น สามารถดาวน์โหลดได้จากที่ต่างๆ ดังนี้(http://www.afterdawn.com/general/disclaimers/decss_disclaim er.cfm?software_id=251&mirror=184&x=31&y=14)
(http://arbor.ee.ntu.edu.tw/%7Ejackei/dvd2avi/)
(http://www.pegasys-inc.com/e_download.html) ...( หน้าถัดไป )
Adobe Photoshop สุดยอดโปรแกรมกราฟิกที่ได้รับความนิยมมากตัวหนึ่งในบ้านเรา (ใครที่ทำงานด้านงานกราฟิกแล้วไม่รู้จักโปรแกรมนี้รับรองว่าเชย ระเบิด) กับเวอร์ชันล่าสุด Adobe Photoshop CS (เวอร์ชัน 8) แน่นอนว่าย่อมมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้มากขึ้น แต่จะมีอะไรน่าสนใจและต้องเรียนรู้เพิ่มเติมบ้างนั้น เรามีคำตอบรอคุณอยู่แล้ว Adobe Photoshop สุดยอดโปรแกรมกราฟิกที่ได้รับความนิยมมากตัวหนึ่งในบ้านเรา (ใครที่ทำงานด้านงานกราฟิกแล้วไม่รู้จักโปรแกรมนี้รับรองว่าเชย ระเบิด) กับเวอร์ชันล่าสุด Adobe Photoshop CS (เวอร์ชัน 8) แน่นอนว่าย่อมมีฟีเจอร์ใหม่ๆ เข้ามาเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้มากขึ้น แต่จะมีอะไรน่าสนใจและต้องเรียนรู้เพิ่มเติมบ้างนั้น เรามีคำตอบรอคุณอยู่แล้ว โปรแกรม Adobe Photoshop เวอร์ชัน 8 ที่มีชื่อเรียกว่า Adobe Photoshop CS (Creative Suite) เป็นโปรแกรมหนึ่งในชุด Adobe Creative Suite โดยในชุดโปแกรมดังกล่าวประกอบไปด้วย Adobe Photoshop CS, ImageReady CS, Adobe Illustrator CS, Adobe InDesign CS, Adobe GoLive CS, Adobe Acrobat 6.0 Professional Photoshop CS ได้เพิ่มเติมฟีเจอร์ให้กับผู้ใช้งานทั่วไป ผู้ออกแบบเว็บ และงานแก้ไขไฟล์วีดีโอ ที่ลืมไม่ได้ก็คงเป็นฟีเจอร์เกี่ยวกับรูปภาพ ในส่วนอินเทอร์เฟซของโปรแกรม Photoshop CS ดูจะเปลี่ยนแปลงจากเวอร์ชัน 7.0 ไปเพียงเล็กน้อย แต่ฟีเจอร์หลักๆ ก็เป็นการสนับสนุนไฟล์ RAW, Histogram Palette, Crop, Straighten, Bicubic Smoother และ Bicubic Sharper เป็นต้น เอ้า! ก่อนอื่นไปติดตั้งโปรแกรมกันก่อนครับ การติดตั้งโปรแกรมมาดูขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม Adobe Photoshop cs กัน
ทดลองใช้งานโปรแกรมเมื่อเปิดใช้งานครั้งแรก จะแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์เพื่อให้กำหนดค่าของสี คลิ้กปุ่ม Yes เพื่อแก้ไขทันที หรือคลิ้กปุ่ม No เพื่อแก้ไขในโอกาสต่อไป โดยการคลิ้กเมนูคำสั่ง EditCamera RAWRAW เป็นส่วนหนึ่งของ Photoshop 7 ในโปรแกรม Photoshop CS ปลั๊กอินที่มาด้วยก็คือ Adobe Photoshop Camera RAW & JPEG 2000 โดยการสนับสนุนไฟล์ JPEG 2000 อัตราการบีบขนาดไฟล์เหนือกว่าแต่มีคุณภาพที่เหมือนกัน ซึ่งตอนนี้กล้องดิจิตอลยังไม่สนับสนุนไฟล์ JPEG 2000 แต่หากต้องการให้เครื่องคอมพิวเตอร์สนับสนุนไฟล์นี้ต้องติดตั้ง โปรแกรมปลั๊กอินตัวนี้ลงไป
File Browserอาจจะคุ้นๆ หรือเคยใช้งานมาแล้วกับ File Browser ในเวอร์ชัน 7 แต่เวอร์ชันนี้จะเป็น File Browser On Steroids! โดยหน้าต่าง File Browser จะเป็นส่วนที่ให้ผู้ใช้งานได้จัดการกับรูปภาพดิจิตอล ทำให้ผู้ใช้งานสามารถปรับแต่งเลย์เอาต์ และการปรับแต่งอื่นๆ สำหรับการค้นหารูปภาพที่จัดเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ได้ตามต้องการ เพื่อให้การใช้งานง่ายขึ้น โดยมีรูปแบบการใช้งานดังนี้
Filter GalleryFilters Palette จะเป็นเครื่องมือที่คล้ายกับในโปรแกรม Photoshop Elements 2 โดยเป็นไดอะล็อกบ็อกซ์ Filter Gallery ซึ่งใน Photoshop CS จะแสดงเอฟเฟ็กต์ของฟิลเตอร์ที่มีให้เลือกใช้งานมากมาย | ||||||||||||||
| ||||||||||||||
เรื่องที่เกี่ยวข้อง 27/1/2005 ลินุกซ์ทะเล 5.5 เบต้า 2 27/1/2005 สุดยอดกลยุทธ์เพื่อการป้องกันระบบจากการจู่โจมทุกรูปแบบ 27/1/2005 ทูลส์สำหรับเขียนโปรแกรมให้กับอุปกรณ์สื่อสารไร้สาย 27/1/2005 ว่าด้วยการเข้ารหัสลับ (ภาคที่ 2) 27/1/2005 Drilling down หัวใจสำคัญของดาต้าแวร์เฮาส์ 27/1/2005 ว่าด้วยการเข้ารหัสลับ ตอนที่ 1 27/1/2005 JMS: ระบบส่งเมสเซจที่เชื่อถือได้สำหรับเว็บเซอร์วิส |
ร่วมแสดงความคิดเห็น | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
| |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
หากคุณเป็นผู้หนึ่ง ซึ่งใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เป็น OS สามัญประจำเครื่องแล้วละก็ แน่นอนว่าต้องเคยประสบกับปัญหาการใช้งานต่างๆ ทั้งที่มาจากวินโดวส์เองและตัวผู้ใช้อีกด้วย ซึ่งวันนี้ เราจะนำเสนอทิปเด็ดๆ สำหรับผู้ใช้งานวินโดวส์ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากที่สุด... ” “หากคุณเป็นผู้หนึ่ง ซึ่งใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ เป็น OS สามัญประจำเครื่องแล้วละก็ แน่นอนว่าต้องเคยประสบกับปัญหาการใช้งานต่างๆ ทั้งที่มาจากวินโดวส์เองและตัวผู้ใช้อีกด้วย ซึ่งวันนี้ เราจะนำเสนอทิปเด็ดๆ สำหรับผู้ใช้งานวินโดวส์ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากที่สุด... ” Creating a Password Recovery Diskหากคุณเป็นผู้หนึ่งที่ใช้ Window XP เป็นระบบปฏิบัติการหลักของเครื่องแล้วละก็ ปัญหาการหลงลืมพาสเวิร์ดคงจะเคยเกิดขึ้นกับคุณไม่มากก็น้อย ซึ่งทำให้ไม่สามารถล็อกออนเข้าวินโดวส์ได้เลย และถ้าหากคุณต้องการเข้าสู่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ให้ได้ละก็ เราสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดย เตรียมแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ว่างๆ จากนั้นทำการสร้างแผ่น Password Recovery Disk ไว้ก่อนเพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหา ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้1. คลิ้กที่เมนู Start 2. คลิ้กที่ User หากต้องการสร้าง Password Recovery Disk (ดังรูปที่ 1)
3. ที่ด้านบนซ้ายของหน้าต่างให้เลือก Prevent a forgetten passwords (ดังรูปที่ 2) 4. จากนั้นให้คลิ้ก next แล้วใส่แผ่นฟลอปปี้ดิสก์เข้าไป คลิ้ก
5. หลังจากนั้นจะเป็นการสร้าง create password ลงบนแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ เมื่อเสร็จแล้วให้คลิ้ก next 6. คลิ้กไปที่ start log off แล้วเลือกไปที่ swich user คลิ้กเลือกไปที่ user ที่สร้างแผ่น Password Recovery Disk เอาไว้ จากนั้นคลิ้กที่ปุ่ม รูปที่ button ซึ่งจะแสดง message use password reset disk ให้เลือกไปที่ข้อความ use password reset disk (ดังรูปที่4) 7. จะแสดงหน้าต่าง wizard Welcome to password reset ให้คลิ้ก next (ดังรูปที่ 5)
8. ใส่แผ่นฟลอปปี้ดิสก์ที่สร้าง Password Recovery Disk เอาไว้คลิ้ก next 9. ให้ใส่ password ใหม่ลงไป (ดังรูปที่ 6) แล้วคลิ้ก next 10. จากนั้นจะกลับมาที่หน้าต่างล็อกออนใหม่ ให้ใส่ password ใหม่ลงไปก็จะสามารถล็อกออนเข้าสู่ วินโดวส์ได้อีกครั้ง
การสร้างไปคอน shutdown/rebootระบบปฏิบัติการ Window XPสามารถสร้างไอคอนสำหรับ shutdownหรือ restart เครื่องคอมพิวเตอร์ไว้บนเดสก์ทอปได้เลย โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องเข้าไปที่เมนู start เพื่อเลือก shutdown หรือ restart เลย วิธีการใช้งานเพียงแค่คลิ้กที่ไอคอนนั้นได้ทันที โดยสามารทำได้ดังนี้1. คลิ้กขวาบนเดสก์ทอป แล้วเลือก new 2. การสร้าง shortcut ไอคอน ที่สามารถทำได้ก็คือ ไอคอน shutdown, ไอคอน restart, ไอคอน logoff ตัวอย่าง หากต้องการสร้าง ไอคอน shutdown ให้ทำดังต่อไปนี้...
พิมพ์ค่า shutdown -r -t 00 ในช่อง Type the location of the item (ดังรูปที่ 8-1) พิมพ์ค่า shutdown -l -t 00 ในช่อง Type the location of the item (ดังรูปที่ 8-2)
3. จะแสดงหน้าต่าง Select a Title for the program ใช้ค่าตามที่ให้มา เสร็จแล้วคลิ้ก Finish (ดังรูปที่ 9) ...( หน้าถัดไป ) | ||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||
เรื่องที่เกี่ยวข้อง 2/2/2005 Extractions Tactic เพลงจากเกม กับช็อตเด็ด เก็บเป็นคอลเล็กชัน !! 2/2/2005 รู้จักสุดยอด 50 เครื่องมือด้าน Security ตอน 2 2/2/2005 รู้จักสุดยอด 50 เครื่องมือทางด้าน Security 2/2/2005 ละมุนทิป : เพิ่มความเร็วของโมเด็มในการเชื่อมอินเทอร์เน็ต 2/2/2005 ทิปเด็ด : ค้นหาหมายเลขตำแหน่งเว็บไซต์ ด้วยคำสั่ง Trace 2/2/2005 ทิปเด็ด : มาดูค่าคอนฟิกูเรชันของ TCP/IP 2/2/2005 ทิปเด็ด : สไตล์นายละมุน ''ตรวจสอบค่าหมายเลขของ IRQ'' |
ร่วมแสดงความคิดเห็น | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
| โปรแกรมที่มาพร้อมกับ Adobe Photoshop CS แต่เน้นไปทางการสร้างเว็บเพจก็ต้องโปรแกรมนี้เลย ด้วยคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นมาพอสมควร สำหรับใครที่กำลังสร้างสรรค์งานออกแบบเว็บไซต์อยู่ รับรองว่าโปรแกรมนี้จะช่วยทุ่นแรงคุณได้อย่างมากทีเดียว โปรแกรมที่มาพร้อมกับ Adobe Photoshop CS แต่เน้นไปทางการสร้างเว็บเพจก็ต้องโปรแกรมนี้เลย ด้วยคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นมาพอสมควร สำหรับใครที่กำลังสร้างสรรค์งานออกแบบเว็บไซต์อยู่ รับรองว่าโปรแกรมนี้จะช่วยทุ่นแรงคุณได้อย่างมากทีเดียว โปรแกรม ImageReady CS เป็นโปรแกรมที่ออกแบบมาสำหรับการสร้างงานเว็บเพจ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบนเนอร์, GIF อนิเมชั่น, อิมเมจแมปหรือการหั่นรูปภาพออกเป็นชิ้นส่วนในแบบ Slice เป็นต้น สร้างแบนเนอร์เอาไว้ใช้งานมาดูกันว่าหากต้องการสร้างแบนเนอร์ต้องทำอย่างไร ก่อนอื่นต้องเรียกใช้งานโปรแกรม Adobe ImageReady CS โดยการคลิ้กปุ่ม Start1. สร้างเอกสารใหม่ขึ้นมา โดยการคลิ้กเมนูคำสั่ง File 2. จะเห็นหน้าต่าง New Document แล้วไปคลิ้กเลือกรูปแบบเอกสารจากลิสต์บ็อกซ์ Size: โดยไปคลิ้กเลือกเลือกรูปแบบแบนเนอร์ที่โปรแกรมกำหนดมาให้แล้วตา มต้องการ แล้วคลิ้กปุ่ม OK
3. จะแสดงหน้าต่างเอกสารแบนเนอร์ว่างๆ ปรากฏขึ้นมา 4. หากต้องการใส่รูปภาพประกอบลงบนแบ็กกราวดน์ลงไป ก็คลิ้กปุ่ม Edit in Photoshop เพื่อไปใส่รูปภาพผ่านโปรแกรม Adobe Photoshop CS หรือหากต้องการเทสีลงไปบนแบ็กกราวนด์ก็ไปคลิ้กเลือกสีที่ต้องกา รแล้วคลิ้กปุ่ม Paint Bucket Tool เพื่อเทสีไปจาก ImageReady CS ก็ได้ 5. หากเลือกไปใส่รูปภาพผ่านโปรแกรม Adobe Photoshop CS ก็จะแสดงหน้าต่างโปรแกรม Adobe Photoshop CS พร้อมเอกสารแบนเนอร์ว่างๆ 6. การใส่รูปภาพก็ให้คลิ้กเปิดรูปภาพขึ้นมา โดยการคลิ้กเมนูคำสั่ง File
7. ใช้เครื่องมือ Move Tool ลากรูปภาพที่ต้องการ ไปวางลงบนแบนเนอร์ก็ให้ใส่รูปภาพที่ต้องการลงไป พร้อมปรับแต่งขนาด หรือคลวามเบลอตามต้องการ 8. แล้วคลิ้กปุ่ม Edit in ImageReady เพื่อกลับไปสร้างแบนเนอร์ต่อในโปรแกรม Adobe ImageReady CS 9. จะกลับมายังหน้าต่างโปรแกรม Adobe ImageReady โดยจะแสดงรูปภาพแบ็กกราวนด์ซึ่งเป็นเฟรมแรก เราต้องการให้แสดงแบนเนอร์อย่างเดียว ให้คลิ้กเลือกรายการ Once 10. มาเริ่มสร้างเฟรมถัดไปหากเราต้องการให้แสดงข้อความให้คลิ้กปุ่ม Duplicates current frame จะแสดงเฟรมแอนิเมชันหมายเลข 2 ขึ้นมา (หากไม่แสดงหน้าต่างเลเยอร์ ให้ไปคลิ้กเมนูคำสั่ง Window
11. จากนั้นคลิ้กปุ่มเครื่องมือ Type Tool แล้วพิมพ์ข้อความที่ต้องการลงไป 12. ในเฟรมที่ 3 มาใส่รูปภาพลงไปกัน โดยการคลิ้กปุ่ม Duplicates current frame เพื่อก็อปปี้เลเยอร์ก่อนหน้านี้ 13. ถ้าต้องการแทรกรูปภาพลงไปให้ไปที่หน้าต่างโปรแกรม Adobe Photoshop CS (ซึ่งตอนนี้เปิดค้างอยู่) หรือคลิ้กปุ่ม Edit in Photoshop ก็ได้ แล้วคลิ้กเมนูคำสั่ง File 14. จากนั้นจะแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ Open เพื่อให้คลิ้กเลือกรูปภาพ แล้วคลิ้กปุ่ม Open 15. จะแสดงไฟล์รูปภาพที่ต้องการ แบนเนอร์มีความสูงขนาดประมาณ 340 พิกเซล ก็ให้ผู้ใช้งานตัดภาพโดยใช้เมาส์คลิ้กเลือกบริเวณที่ต้องการ แล้วคลิ้กเมนูคำสั่ง Image 16. พร้อมปรับแต่งขนาดรูปภาพโดยคลิ้กเมนูคำสั่ง Image 17. จะแสดงไดอะล็อกบ็อกซ์ Image Size กำหนดค่าความสูง(Height) ต้องการแล้วคลิ้กปุ่ม OK 18. แต่หากรูปภาพมีขนาดเล็กกว่าแบนเนอร์ก็ไม่ต้องทำอะไร จะแสดงไฟล์รูปภาพที่ต้องการ ให้กดแป้น Ctrl+A แล้วคลิ้กเมนูคำสั่ง Edit
19. แล้วไปยังแบนเนอร์ของเรา โดยการคลิ้กเมนูคำสั่ง Edit 20. แล้วคลิ้กปุ่ม Edit in ImageReady เพื่อกลับไปสร้างแบนเนอร์ต่อในโปรแกรม Adobe ImageReady CS 21. ที่นี้ไปกำหนดการแสดงของภาพในแต่ละเฟรม ซึ่งตอนนี้ทั้ง 3เฟรมจะมีรูปภาพเหมือนกัน 22. โดยให้ไปคลิ้กที่เฟรมหมายเลข 1 ต้องการให้แสดงเฉพาะแบ็กกราวนด์ว่างๆ ให้ไปที่พาเนลเลเยอร์ แล้วคลิ้กยกเลิกไอคอน รูปดวงตา หน้ารูปภาพและข้อความออกไปเพื่อยกเลิกการแสดง 23. จากนั้นไปยังตำแหน่งเฟรมที่ 2 เพื่อกำหนดให้แสดงข้อความ โดยการไปคลิ้กเลือกที่เฟรม 2
24. แล้วคลิ้กช่องไอคอนรูปดวงตาในเลเยอร์ข้อความ จะแสดงข้อความในหน้าต่างพรีวิวทันที 25. ไปเฟรมที่ 3 เพื่อกำหนดให้แสดงข้อความและรูปภาพ โดยการไปคลิ้กเลือกที่เฟรม 3 26. แล้วคลิ้กช่องไอคอนรูปดวงตาในเลเยอร์ข้อความและรูปภาพทั้งหมด จะแสดงผลลัพธ์ในหน้าต่างพรีวิวทันที
27. จากนั้นกำหนดช่วงเวลาในการแสดงในแต่ละเฟรม โดยการคลิ้กกำหนดเวลาใต้เฟรม จากค่า 0 sec. แล้วเลือกเวลาหน่วงที่ต้องการอาจเป็น 1 sec. โดยต้องกำหนดเวลาให้กับทุกเฟรมอาจเท่ากับ หรือแตกต่างกันก็ได้แล้วแต่ความต้องการ 28. จากนั้นทดลองชมแอนิเมชันผ่านทางโปรแกรม ให้คลิ้กปุ่ม Play/stop animation 29. หากต้องการให้แอนิเมชันทำงานวนไปเรื่อยให้คลิ้กเลือกที่รายการ Forever ทดลองพรีวิวอนิเมชันผ่าน Internet Explorerหลังจากมีการสร้างแอนิเมชันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาทดลองดูการทำงานแอนิเมชันบนเว็บ30. เมื่อเปิดแอนิเมชันที่ต้องการขึ้นมา ให้คลิ้กเมนูคำสั่ง File 31. จากนั้นจะแสดงหน้าต่างไออีพร้อมแสดงแอนิเมชัน พร้อมรายละเอียดของไฟล์พร้อมทั้งโค้ดที่ผู้ใช้งานสามารถก็อปปี้ ไปใช้งานได้ทันทีโดยต้องมีการอ้างถึงรูปภาพด้วย (จากบรรทัด ) พร้อมก็อปปี้ไฟล์ต้นฉบับไปวางยังโฟลเดอร์ที่ต้องการ ...( หน้าถัดไป ) |
|
ในบางครั้งที่เรามีไฟล์เพลงในรูปแบบ WAV, MIDI หรือ MP3 แล้วต้องการนำไปใช้กับงานพรีเซนเทชัน ใช้กับเว็บเพจ หรือนำไปใช้เพื่อความบันเทิงอื่น ก็สามารถทำได้ด้วยโปรแกรมนี้เลย… ตัดต่อไฟล์เสียงกับ Adobe Auditionในบางครั้งที่เรามีไฟล์เพลงในรูปแบบ WAV, MIDI หรือ MP3 แล้วต้องการนำไปใช้กับงานพรีเซนเทชัน ใช้กับเว็บเพจ หรือนำไปใช้เพื่อความบันเทิงอื่น ก็สามารถทำได้ด้วยโปรแกรมนี้เลย…เพลงต่างๆ ที่มีให้ฟังในปัจจุบัน คงมีบางเพลงที่อาจจะไม่ถูกใจ เช่น เพลงที่ยาวเกินไปสำหรับคุณ และเพลงที่มีเนื้อหาไม่ถูกใจ ซึ่งคุณเองก็ต้องการที่จะตัดต่อหลายๆ เพลงมารวมกัน หรือแม้แต่เอาบางท่อนออก แล้วต่อด้วยท่อนอื่นๆ เพื่อให้ได้อรรถรถในแบบที่คุณต้องการ และสิ่งต่างๆ เหล่านี้สามารถจัดการได้ด้วยโปรแกรม Adobe Audition ซึ่งเป็นโปรแกรมสำหรับใช้บันทึกเสียง, แก้ไข หรือมิกซ์เสียงในรูปแบบหลายๆ แทร็กพร้อมกันโดยโปรแกรมนี้จะทำงานบน ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 98, วินโดวส์ มี, วินโดวส์ 2000 และวินโดวส์ เอ็กซ์พี การเรียกใช้งานโปรแกรมลองมาดูขั้นตอนและวิธีจัดการกับไฟล์เพลงด้วยโปรแกรมนี้ดู โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
ลงมือตัดต่อไฟล์ MP3มาเริ่มการตัดต่อไฟล์เพลงกัน โดยเราจะดึงไฟล์ MP3 ขึ้นมาแล้วตัดทอนให้สั้นลงตามต้องการ ซึ่งความจริงแล้วผู้ใช้งานจะตัดต่อไฟล์ WAVE, MIDI หรือไฟล์เสียงนามสกุลอื่นๆ ได้เช่นกัน
นำไฟล์จากก๊อบปี้มาสร้างเป็นไฟล์ใหม่เมื่อเราได้ก๊อบปี้ไฟล์ลงบนคลิปอาร์ตแล้ว ให้นำมาสร้างเป็นไฟล์เสียงอันใหม่ทันที โดยทำตามขั้นตอนดังนี้...
| ||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||
เรื่องที่เกี่ยวข้อง 4/2/2005 สร้างแผ่นซีดีและดีวีดีในแบบ AII-in-One ด้วย Ulead DVD MovieFactory 3 (ตอนที่ 1) 4/2/2005 ครอปส่วนที่ต้องการบนรูปภาพด้วย Photoshop 7 4/2/2005 เล่นอินเทอร์เน็ตแบบติดจรวดด้วย Opera 7 4/2/2005 กลเม็ดแบบจิ๋วแต่แจ๋วกับ Opera 7.0 4/2/2005 แปลงไฟล์มัลติมีเดียให้ถึงใจ โดยใช้ Blaze MediaConvert 4/2/2005 อัพเกรด VGA Card เพื่อภาพที่สดใสกว่าในเครื่องเดิม 4/2/2005 แก้ไขมาโคร ใครว่ายาก |
สำหรับจุดเด่นอีกจุดหนึ่งที่ถูกเพิ่มคุณสมบัติเข้ามาใน Flash MX 2004 นั่นก็คือความสามารถในการทำงานกับวิดีโอที่เพิ่มมากขึ้น จากที่เวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ทำได้เพียงแค่อิมพอร์ตไฟล์วิดีโอเข้ ามาแสดงผลอย่างเดียว มาเวอร์ชั่นนี้ก็ได้เพิ่มส่วนสำหรับตัดต่อวิดีโอ และคอมโพเนนต์สำหรับการแสดงผลวิดีโอ ที่จะช่วยให้การแสดงวิดีโอใน Flash สะดวกยิ่งขึ้น สำหรับจุดเด่นอีกจุดหนึ่งที่ถูกเพิ่มคุณสมบัติเข้ามาใน Flash MX 2004 นั่นก็คือความสามารถในการทำงานกับวิดีโอที่เพิ่มมากขึ้น จากที่เวอร์ชันก่อนหน้านี้ทำได้เพียงแค่อิมพอร์ตไฟล์วิดีโอเข้า มาแสดงผลอย่างเดียว มาเวอร์ชันนี้ก็ได้เพิ่มส่วนสำหรับตัดต่อวิดีโอ และคอมโพเนนต์สำหรับการแสดงผลวิดีโอ ที่จะช่วยให้การแสดงวิดีโอใน Flash สะดวกยิ่งขึ้น ตัดต่อวิดีโอด้วย Flash MX 2004ไฟล์วิดีโอที่จะนำมาตัดต่อด้วยโปรแกรม Flash MX 2004 นั้นควรจะเป็นไฟล์ประเภท MPG/MPEG หรือ AVI เพื่อให้สามารถนำไปแก้ไขความยาวของวิดีโอหรือตัดต่อวิดีโอเฉพาะ ช่วงเวลาที่ต้องการก่อนที่จะอิมพอร์ตเข้ามาใน Flash MX 2004 ได้ ซึ่งถ้าเตรียมไฟล์วิดีโอไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ให้เริ่มต้นทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้1. ภายในโปรแกรม Flash MX 2004 ให้สร้างไฟล์เอกสาร Flash ขึ้นมาใหม่ ต่อจากนั้นให้ไปที่เมนู File
2. ภายหลังจากกดปุ่ม Open แล้วจะปรากฏหน้าต่าง Video Import Wizard ขึ้นมา จะมีตัวเลือกให้สองตัว ดังนี้ ให้เลือก Edit the video first แล้วคลิ้กที่ปุ่ม Next ก็จะเข้าสู่ส่วนตัดต่อวิดีโอ ดังรูปที่ 1 ซึ่งภายในส่วนตัดต่อวิดีโอนั้น จะมีการแบ่งพื้นที่ภายในหน้าต่างออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ ส่วนที่ 1 เป็นส่วนที่เก็บรายชื่อคลิปวิดีโอที่เราได้ตัดจากไฟล์วิดีโอ ส่วนที่ 2 จะเป็นส่วนคอลโทรลคลิปวิดีโอ เพื่อใช้ในการตัดคลิปวิดีโอมาเก็บไว้ และส่วนที่ 3 จะเป็นส่วนพรีวิวคลิปวิดีโอ 3. ขั้นตอนแรกของการตัดวิดีโอมาเป็นคลิปวิดีโอเพื่ออิมพอร์ตเข้ามา ในไลบรารี่ของเรานั้น จะเริ่มจากการลากเครื่องหมาย In Point ซึ่งเป็นรูป
ไปยังตำแหน่งสิ้นสุดของการตัด ดังรูปที่ 2 และเพื่อให้แน่ใจได้ว่า ช่วงวิดีโอที่เรากำหนดไว้ว่าจะตัดมาเก็บเป็นคลิปวิดีโอนั้น คือช่วงที่เราต้องการจริงๆ ก็ให้คลิ้กที่ปุ่ม Preview clip เพื่อดูตัวอย่างวิดีโอในช่วงที่เรากำหนดไว้ก่อนได้ 4. เมื่อแน่ใจแล้วว่ากำหนดช่วงวิดีโอถูกต้องแล้วก็ให้คลิ้กที่ปุ่ม Create clip เพื่อตัดช่วงวิดีโอที่เรากำหนดมาเก็บเป็นคลิปวิดีโอทันที โดยจะปรากฏชื่อคลิปวิดีโอในช่องรายชื่อคลิปวิดีโอทางซ้ายมือด้ว ย 5. หากยังต้องการตัดวิดีโอในช่วงอื่นๆ มาเก็บไว้เป็นคลิปวิดีโออีก ให้ทำซ้ำขั้นตอนที่ 3-4 ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้คลิปวิดีโอตามที่เราต้องการ 6. ในการแก้ไขจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของคลิปวิดีโอที่ตัดมาเก็บแ ล้วนั้น สามารถทำได้โดยคลิ้กที่ชื่อของคลิปที่ต้องการแก้ไขภายในช่องราย ชื่อ แล้ว In Point กับ Out Point ก็จะเลื่อนตำแหน่งมายังจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของคลิปนั้น จากนั้นให้กำหนดจุด In Point กับ Out Point ใหม่ เสร็จแล้วก็ให้คลิ้กที่ปุ่ม Update Clip เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลง 7. สำหรับการลบคลิปวิดีโอที่ตัดมาแล้ว ก็ให้คลิ้กที่ชื่อของคลิปวิดีโอที่ต้องการลบในช่องรายชื่อ แล้วคลิ้กที่ปุ่ม Delete (ปุ่มรูปถังขยะที่อยู่ด้านบนของช่องรายชื่อ) คลิปวิดีโอนั้นก็จะถูกลบออกจากช่องรายชื่อทันที 8. คลิปวิดีโอทั้งหมดที่อยู่ในช่องรายชื่อนั้นก็คือซิมโบลแต่ละตัว ที่จะถูกอิมพอร์ตเพิ่มเข้ามาในไลบรารี่นั่นเอง แต่ถ้าเราใส่เครื่องหมายถูกที่ตัวเลือก Combine list of clips into a single library item after import ก็จะทำให้คลิปวิดีโอทั้งหมดนั้นถูกอิมพอร์ตรวมกันเป็นซิมโบลเพี ยงตัวเดียวในไลบรารี่ ซึ่งจะมีประโยชน์มากในการตัดต่อวิดีโอเฉพาะช่วงอย่างเช่น ทำพรีวิวหนัง หรือพรีวิวมิวสิกวิดีโอ เป็นต้น 9. เมื่อการตัดต่อคลิปวิดีโอของเราเรียบร้อยแล้ว ก็ให้คลิ้กที่ปุ่ม Next เพื่อเข้าไปยังส่วนกำหนดค่าการเข้ารหัส (Encoding) ซึ่งภายในส่วนนี้จะประกอบไปด้วยลิสต์บ็อกซ์อยู่ 2 ตัว นั่นก็คือ Compression Profile และ Advanced Settings ดังรูปที่ 3
ในลิสต์บ็อกซ์ Compression Profile จะมีการกำหนดรูปแบบการบีบอัดที่เหมาะสมกับอินเทอร์เน็ตความเร็ว ต่างๆ มาให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราสามารถเลือกได้ตามต้องการ หรือว่าถ้าหากรูปแบบที่มีอยู่ไม่ถูกใจ เราสามารถสร้างรูปแบบการบีบอัดของเราเองได้ โดยเลือก Create new profile ก็จะปรากฏส่วนของ Compression Settings ดังรูปที่ 4 ซึ่งออปชันแต่ละตัวจะมีความหมายดังนี้
เมื่อเรากำหนดค่าต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้คลิ้กที่ปุ่ม Next จะปรากฏกล่องข้อความขึ้นมาเพื่อให้เรากรอกชื่อโพรไฟล์ที่ต้องกา รบันทึก เมื่อกรอกเสร็จแล้วก็คลิ้กที่ปุ่ม Next ก็จะกลับเข้าสู่ส่วนกำหนดค่าการเข้ารหัสอีกครั้ง 10.สำหรับในลิสต์บ็อกซ์ Advanced Settings มีไว้สำหรับกำหนดค่าต่างๆ ของวิดีโอ ซึ่งเราจะต้องเลือก Create new profile เพื่อสร้างรูปแบบของเราเอง เมื่อเลือกแล้ว ก็จะปรากฏส่วนของ Advanced Settings ดังรูปที่ 5 ซึ่งออปชันแต่ละตัวก็จะมีความหมายดังนี้ เมื่อเรากำหนดค่าต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ให้คลิ้กที่ปุ่ม Next จะปรากฏกล่องข้อความขึ้นมาเพื่อให้เรากรอกชื่อโพรไฟล์ที่ต้องกา รบันทึก เช่นเดียวกับขั้นตอนที่แล้ว และเมื่อกรอกเสร็จแล้วก็คลิ้กปุ่ม Next ก็จะกลับเข้าสู่ส่วนกำหนดค่าการเข้ารหัสอีกครั้ง
| ||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||
เรื่องที่เกี่ยวข้อง 22/8/2005 เปลี่ยนสีมะเขือเทศในพริบตาด้วย Color Replacement 22/8/2005 สนุกกับรูปภาพด้วย Adobe PhotoDeluxe Business Edition 22/8/2005 สร้างพรีเซนเทชันด้วย Adobe Photoshop CS 22/8/2005 เทคนิคการสร้างงานเว็บกับ Adobe ImageReady CS 22/8/2005 PLAWAN BROWSER ท่องเน็ตปลอดภัย ห่วงใยเยาวชน 22/8/2005 การทำ Demo CD ด้วย JetAudio 22/8/2005 สร้างไฟล์ Acrobat เพียงไม่กี่คลิ้กด้วย PDF redirect |
ร่วมแสดงความคิดเห็น | ||||||||
|
ร่วมแสดงความคิดเห็น | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|